"ใน Episode 5 นี้ เราจะได้เรียนรู้การสร้างประโยคโดยการใช้ present simple tense กันค่ะ สำหรับ tense นี้ ในด้านโครงสร้าง จะให้ความสำคัญกับความเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ของประธาน เพราะพจน์ของประธานจะมีต่อกริยาที่ใช้ในประโยค"
โครงสร้างของประโยคทั่วไป
ประโยคหนึ่งประโยค มีองค์ประกอบหลักที่สำคัญ 3 ส่วนคือ
ประธาน (subject) + กริยา (verb) + กรรม (object)
ประธานและกริยาเป็นส่วนสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ แต่เราอาจไม่พบกรรมในประโยคบางประโยคได้ เพราะกริยาบางตัว ถึงจะไม่มีกรรมก็มีใจความสมบูรณ์ กริยาเลยแบ่งออกตามความต้องการกรรมได้ 2 ประเภท คือ
1. Transitive verb หรือ verb ที่ต้องการกรรม ถ้าเราลืมใส่กรรม ประโยคจะฟังงงๆ และมีคำถามตามมาว่ากับใคร? อะไร?
2. Intransitive verb หรือ verb ที่ไม่ต้องการกรรม เป็น verb ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (walk, run, arrive, etc.)หรือเกี่ยวกับเสียง (laugh, scream, shout, etc.) การสั่น (shake, vibrate, etc.) การส่องแสง (shine, light, etc.) เป็นต้น
![]() |
Transitive และ Intransitive verb ที่มา: AskGrammarHound |
ประโยคบอกเล่า (S + V1)
Present simple tense เป็น tense ที่เราใช้กับปัจจุบัน เราจึงใช้กริยาช่องที่ 1 ในโครงสร้าง แต่ V1 นี้จะผันตามพจน์ของประธาน ซึ่งอาจจะเป็น "เอกพจน์" หรือ "พหูพจน์" ก็ได้
"ประธานที่เป็นเอกพจน์ (singular subject)" หมายถึง ประธานที่มีคนเดียว, สิ่งเดียว
"ประธานที่เป็นพหูพจน์ (plural subject)" หมายถึง ประธานที่มีตั้งแต่ 2 คนหรือ 2 สิ่งขึ้นไป ซึ่งเราสามารถจดจำความเป็นเอกพจน์/ พหูพจน์ของประธานได้ หากเราได้เรียนรู้เรื่องคำนามมาแล้ว
การผันของ V1 ตามประธานจะเกิดขึ้น เมื่อประธานของประโยคเป็น he, she และ it ซึ่งถือเป็นประธานที่เป็นเอกพจน์ ตามไปอ่านได้ใน Episode 4: Pronoun นั้น สำคัญไฉน? นะคะ
หลักการเปลี่ยนรูปกริยาใน present simple tense ในกรณีประธานเป็น he, she, it
1. Verb ทั่วไปให้เติม s ที่ท้ายคำได้เลย
2. Verb ที่ลงท้ายด้วย s, ss, ch, sh, o, และ x ให้เติม es ที่ท้ายคำ
3. Verb ที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้ตัด y ออกแล้วเติม ies แต่ถ้าหน้า y เป็นสระ (a, e, I, o, u) ให้เติม s ได้เลย
แต่! กฎทุกกฎมีข้อยกเว้นค่ะ
![]() |
Key: 1) can, 2) goes, 3) wishes, 4) must, 5) hurries, 6) does, 7) may, 8) kisses, 9) worries, 10) teaches |
present simple tense ที่มี verb to be, verb to do และ verb to have เป็น verb แท้
![]() |
เมื่อเจอ verb เหล่านี้ใน present simple ก็แค่เลือกใช้ให้เหมาะกับประธานเท่านั้นเองค่ะ แต่ถ้า verb นอกเหนือไปจากนี้ก็ใช้ตามกฎก่อนหน้านี้นะคะ |
ประโยคปฏิเสธ/ ประโยคคำถาม ใน present simple tense
ในการสร้างประโยคปฏิเสธและประโยคคำถามของ tense นี้ เราต้องพิจารณา V1 ของประโยคว่า V1 เป็น verb to be (is, am, are) หรือไม่ จากนั้นค่อยทำตามข้อต่อไปนี้ค่ะ
1. ถ้า V1 เป็น is, are, are
![]() |
ถ้า V1 เป็น is, am, are เวลาสร้างประโยคปฏิเสธให้ใส่ not ไว้ด้านหลัง is, am, are ได้เลย ตัวย่อที่ใช้ก็ตามตารางเลยค่ะ (Grammar in use elementary) |
![]() |
กรณีสร้างประโยคคำถาม (Yes/ No question) ก็ให้ย้าย is, am, are ไปวางไว้หน้าประธานได้เลย (หากไม่ใช่ Yes/ No question ก็จะเห็น question word (what, where, why,etc.) วางไว้หน้า verb to be |
แบบฝึกหัด (เมื่อ V1 คือ is, am, are)
![]() |
รูปแบบการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วย verb to be |
2. ถ้า V1 ไม่ใช่ is, am, are ให้เอา verb to do มาช่วย
![]() |
ตัวอย่างการใช้ do/ does ในการสร้างประโยคปฏิเสธของ present simple tense |
แบบฝึกหัด (กรณี V1 ไม่ใช่ is, am, are)
การใช้ present simple tense ในการสนทนาทั่วไป
1. ใช้พูดถึงสิ่งที่เป็นจริงเสมอทั่วๆ ไป เช่น ความจริงทางวิทยาศาสตร์หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ
![]() |
Key: 1) is 2) is 3) reaches 4) boils 5) melts 6) take place 7) works 8) travels |
2. ใช้พูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่เราทำเป็นกิจวัตร ทำเป็นนิสัย เวลาเล่าให้คนอื่นฟัง ก็มักจะใส่ความถี่ของกริยาหรือ Adverb of frequency เข้าไปด้วย
Adverb of frequency คือคำวิเศษณ์ ซึ่งทำหน้าที่ได้หลายอย่าง หลักๆ คือสามารถขยายกริยาได้ ทำให้รู้ว่ากริยานั้นๆ ถูกทำด้วยความถี่เท่าไร เช่น always (เสมอ), usually (เป็นประจำ), sometimes (บางครั้ง), never (ไม่เคยเลย), seldom (นานๆ คำสักครั้ง) เป็นต้น คำเหล่านี้ เมื่อนำไปใช้ ให้วางไว้หน้ากริยาช่องที่ 1 เสมอ ยกเว้นว่า V1 เป็น is, am, are ในกรณีนี้เราจะวางคำเหล่านี้ไว้หลัง is, am, are แทน
การใช้ present simple tense แสดงนิสัย/ กิจวัตร
![]() |
Key: 1) gets up 2) has, goes 3) takes, brushes, combs 4) puts 5) leaves, locks 6) goes, waits 7) arrives, gets on, goes |
![]() |
Key: 1) gets up 2) brushes 3) don't catch 4) has ภาพด้านล่างซ้าย always, ภาพล่างขวา never |
3. ใช้พูดถึงเหตุการณ์ทั่วๆ ไปที่เกิดขึ้นตามตารางเวลา ส่วนใหญ่ก็เป็นตารางเรียน ตารางการเดินทางด้วยยานพาหนะประเภทต่างๆ โปรแกรมทัวร์หรือพวกคอนเสิร์ต เป็นต้นการใช้ present simple tense แสดงสิ่งที่เกิดขึ้นตามตาราง
![]() |
Key: 1) arrives 2) starts 3) begins 4) is 5) leaves 6) ends 7) comes 8) does the exhibition open? 9) is 10) does the zoo close? |
ในที่สุดก็มาถึงบรรทัดสุดท้ายแล้ว ^^ ถ้าไม่เข้าใจ อยากสอบถามหรือขอแบบฝึกหัดเพิ่มเติม ก็ทิ้ง comment ไว้ด้านล่างได้เลยนะคะ สำหรับบทเรียนวันนี้ ขอทิ้งตัวอย่างการใช้ present simple tense ไว้นิดนึงว่า
"I am a teacher. I teach my students every day. Our class starts from 5 - 8 p.m. on Monday to Friday and from 9 a.m. - 5 p.m. on Saturday and Sunday. I love teaching and sharing English lesson. If you have any doubt with grammar, just tell me I will definitely help as much as I can."
See you next time, Bye!
Reference
http://askgrammarhound.deviantart.com/art/Question-14-Verbs-Transitive-and-Intransitive-297502923
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น